หน้าแรก ย้อนกลับ แห่ผ้าขึ้นธาตุ
แห่ผ้าขึ้นธาตุ
แห่ผ้าขึ้นธาตุ1 คือประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มโอบฐานเจดีย์พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า “แห่พระบฏขึ้นธาตุ” กระทำกันในวันมาฆบูชาและวิสาขบูชา รวมปีละ 2 ครั้งทุกปี ประเพณีมีสืบมาจากสมัยพญาศรีธรรมโศกราชจันทรภานุทรงประกอบพระราชพิธีวิสาขะสมโภชพระบรมธาตุครั้งแรกหลังจากบูรณะพระเจดีย์องค์เดิมเป็นทรงลังกาสมบูรณ์แล้ว
มีเรื่องปรากฏในตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชว่า ก่อนเริ่มพิธีสมโภชพระบรมธาตุไม่กี่วัน คลื่นได้ซัดผ้าแถบผืนหนึ่งมีลายเขียนรูปเรื่องราวพระพุทธประวัติที่เรียกกันว่า “พระบต” หรือ “พระบฏ” ขึ้นที่หาดปากพนัง (ปัจจุบันปากพนังเป็นอำเภอหนึ่งขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช) ชาวปากพนังเก็บได้ส่งเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายพญาศรีธรรมโศกราชจันทรภานุที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อได้รับแถบผ้าพระบฏ พญาศรีธรรมมาโศกราชจันทรภานุก็โปรดให้เจ้าพนักงานซักทำความสะอาดจนหมดจด แต่ลวดลายรูปในผืนผ้ายังเด่นชัดสวยงามมิได้ลบเลือน เมื่อซักเสร็จก็ผึ่งไว้ในพระราชวังและประกาศหาเจ้าของ
ความปรากฏต่อมาว่า พระบฏเป็นของพุทธศาสนิกชนกลุ่มหนึ่ง เชิญลงเรือรอนแรมมาแต่เมืองอินทรปัตซึ่ง อยู่แถวลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งเขมร จะนำไปถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุ คือ คือพระเขี้ยวแก้วที่ลังกา แต่เรือถูกมรสุมแตกทำลายลงในทะเลหน้าเมืองนครศรีธรรมราช หัวหน้าพุทธศาสนิกชนกลุ่มนี้จมน้ำตาย เหลือเพียงบริวารรอดขึ้นฝั่งท่าศาลา (ปัจจุบันท่าศาลาเป็นอำเภอหนึ่งขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช) ได้ประมาณ 10 คน ส่วนพระบฏถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งปากพนัง
พญาศรีธรรมโศกราชจันทรภานุสดับข่าวนั้นแล้วทรงพิจารณาเห็นว่า พระบฏซึ่งเจ้าของผู้ทำตั้งใจนำไปถวาย เป็นพุทธบูชา ประกอบกับบริวารที่รอดชีวิตมาส่งข่าวข่าวยินยอม จึงโปรดให้พุทธศาสนิกชนชาวเมืองจัดเครื่องประโคมแห่แหนขึ้นห่มองค์เจดีย์พระบรมธาตุ อุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้าของในครั้งวิสาขบูชาสมโภชคราวนั้นด้วย แม้ไม่ใช่พระทันตธาตุตามที่เจ้าของผู้ล่วงลับตั้งใจไว้ก็เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมเป็นพุทธบูชาอย่างเดียวกัน
จากปฐมเหตุดังกล่าวจึงเกิดเป็นภารกิจประจำปีของกษัตริย์สืบมาถึงเจ้าเมือง กรมการเมืองนครศรีธรรมราช ทุกสมัยจะต้องสร้างพระบฏ จัดให้มีการแห่แหนพระบฏขึ้นห่มโอบฐานพระบรมธาตุในเทศกาลวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพิธีสมโภชพระบรมธาตุทุกปี จนกลายเป็นประเพณีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช เพราะปรากฏว่าประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุไม่มีทำในท้องถิ่นใดทั้งสิ้นในประเทศไทย จะมีพ้องกันก็เฉพาะสมโภชพระธาตุในท้องที่ที่มีเจดีย์พระบรมธาตุเท่านั้น ซึ่งงานสมโภชบางท้องถิ่นก็จัดในเทศกาลต่างกัน
สมัยรัตนโกสินทร์ประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุพุทธศาสนิกชนชาวเมืองและต่างเมืองใกล้ไกล ตลอดแหลม มลายูศรัทธานิยมกันเป็นอันมาก เมื่อถึงเทศกาลวิสาขบูชาก็จะหาพระบฏเดินทางมาร่วมขบวนกับของทางบ้านเมืองนครศรีธรรมราชด้วยอย่างแข็งขันพรั่งพร้อมทุกปี จนกระทั่งเจ้าเมืองตระกูล ณ นคร สิ้นอำนาจกลายเป็นพิธีสืบธรรมเนียมตระกูลเจ้าเมืองเก่า และเลิกไปเด็ดขาดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2475 ซึ่งมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ผู้ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองสืบต่อมาจึงปล่อยให้การแห่พระบฏขึ้นธาตุเป็นประเพณีของชาวพุทธทั่วไปกระทำกันเองตามศรัทธา การสวดพระปริตรสมโภชพระบรมธาตุก็เป็นกิจของสงฆ์โดยเฉพาะ
สำหรับประเพณีแห่พระบฏขึ้นธาตุของหมู่ประชาชนยังมีทำสืบกันมา แต่แยกเป็นต่างกลุ่มต่างทำ ต่างกรรม ต่างวาระกัน ที่ว่าต่างกรรมก็คือ พระบฏกลายเป็นผ้าขาว ผ้าเหลือง ผ้าแดง สุดแต่จะเห็นชอบ และไม่มีการเขียนรูปพระพุทธประวัติเนื่องจากช่างเขียนที่เขียนให้โดยหวังกุศลไม่คิดค่าจ้างหมดไป ถ้าจะทำเป็นพระบฏให้ถูกต้องตามคติโบราณก็ต้องว่าจ้างกันในราคาแพงการเรียกชื่อประเพณีก็ค่อยๆ ขาดคำ “พระบฏ” ไปจนในที่สุดก็คงเหลือเพียง “แห่ผ้าขึ้นธาตุ” เป็นพุทธบูชา การแห่แหนที่มีแต่เพียงช่วยกันจับชายผ้า เทินผ้า ไปตามถนนเป็นขบวน ไม่มีสำรับคับค้อน ไม่มีกระบุงกระจาดของสดของแห้ง บางขบวนก็ตั้งขบวนเดินไปสู่วัดพระธาตุฯ อย่างเงียบๆ พอเป็นพิธี บางขบวนก็มาจากชนบทต่างเมืองต่างจังหวัด มีทายกทายิกามากมายเป็นหมู่เป็นคณะพรักพร้อม บ้างก็มีเครื่องประโคมมีการร่ายรำนำขบวน
ที่ว่าต่างวาระก็คือ ไม่รวมเป็นขบวนเดียวแห่แหนในวาระเดียวเหมือนสมัยทางบ้านเมืองเป็นผู้นำ สุดแต่กลุ่มใดจะพร้อมเวลาไหนก็แห่แหนกันเวลานั้น เมื่อถึงเทศกาลพุทธศาสนิกชนซึ่งล้วนถือว่าการแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นพุทธบูชาอย่างหนึ่งของเทศกาล ไม่เกี่ยวกับการสมโภชพระบรมธาตุแต่อย่างใด แล้วจะพากันตั้งขบวนแห่แหนกันเข้าสู่วัดพระมหาธาตุฯ กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ และกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากทุกทิศทุกทาง ตั้งแต่เช้าจดบ่ายไม่ขาดสาย นอกจากนั้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศร่วมกระทำมาฆบูชาอันเป็นกิจเฉพาะของสงฆ์มาแต่เดิม เป็นประเพณีทั่วไปของพุทธศาสนิกชนด้วย เลยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนผู้อยู่ห่างไกลและไม่มีโอกาสไปกระทำพุทธบูชาในเทศกาลวิสาขะเพ็ญเดือน 6 ถือเป็นโอกาสที่ได้ไปในเทศกาลมาฆะเพ็ญเดือน 3 แห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นพุทธบูชาตามศรัทธาด้วย
เทศกาลมาฆะเพ็ญเดือน 3 และ เทศกาลวิสาขะเพ็ญเดือน 6 จึงมีการแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นพุทธบูชาสืบมาทั้ง 2 เทศกาล ดังที่เห็นอยู่ในเวลานี้แต่รู้สึกว่าจะร่วงโรยไปมากแล้ว เช่นเดียวกับประเพณีอื่น ๆ
1 เรียบเรียงโดยสรุปจากเรื่อง “แห่ผ้าขึ้นธาตุ” (หน้า 8738-8742). ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 18. (2542). มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. กรุงเทพฯ.
แชร์ 3582 ผู้ชม