หน้าแรก ย้อนกลับ บอกเล่าเรื่องราวงาน “สืบสารท สานศิลป์ ถิ่นโนรา ผ่านทางสายตาผู้ชม”
บอกเล่าเรื่องราวงาน
“สืบสารท สานศิลป์ ถิ่นโนรา ผ่านทางสายตาผู้ชม”
หากกล่าวถึงประเพณีสำคัญที่อยู่คู่กับชาวภาคใต้และมีประวัติความเป็นมายาวนานนั้น คงต้องนึกถึง“ประเพณีการทำบุญเดือนสิบ หรือ ชิงเปรต” เป็นอันดับแรก เมื่อถึงเทศกาลทำบุญเดือนสิบนอกจากผู้คนจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้วก็ยังจะนึกถึง “การแสดงมโนราห์” อันเป็นศิลปะการแสดงที่งดงามของภาคใต้อีกด้วย ทว่ามรดกทางวัฒนธรรมทั้งสองนี้จะมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรนั้น พวกเรามีคำตอบมาฝากทุกคนกันค่ะ
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 พวกเราได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน “สืบสารท สานศิลป์ ถิ่นโนรา” จัดโดยคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ งานนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจได้รู้จักกับประเพณีและศิลปวัฒนธรรมภาคใต้มากยิ่งขึ้น ภายในงานมีทั้งนิทรรศการและกิจกรรมเสวนา โดยกิจกรรมเสวนามีวิทยากรประกอบด้วย 1) ผศ.ธรรมนิตย์ นิคมรัตน์ ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2564 สาขาศิลปะการแสดง (โนรา) และอาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 2) รศ.ดร.สืบพงศ์ ธรรมชาติ
ผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ 3) คุณเนติพงศ์ ไล่สาม ครูช่างศิลปหัตถกรรมประจำปี 2564 4) ดร.รื่นฤทัย รอดสุวรรณ อาจารย์ประจำหลักสูตรสาขาวิชาทัศนศิลป์ สาขาศิลปกรรมและออกแบบ
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย และมี ผศ.ดร.เรวดี อึ้งโพธิ์ รองคณบดีฝ่ายบริหารและกิจการพิเศษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมเสวนาและดำเนินรายการ
“สารทเดือนสิบ” หรือที่ชาวภาคใต้เรียกกันว่า “ชิงเปรต” เป็นประเพณีที่สื่อถึงความกตัญญูกตเวที
คำว่า “สารท” มาจากคำว่า สรท (สะระ-) ในภาษาอินเดียซึ่งแปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง และเป็นฤดูที่ผลไม้ เช่น มังคุด ลางสาด ทุเรียนกำลังผลิดอกออกผล ประเพณีสารทเดือนสิบเป็นการทำบุญตามวิถีศาสนาพุทธซึ่งสืบทอดกันมาทั้งแต่สมัยพุทธกาล ผศ.ดร.สืบพงศ์ ได้เล่าประวัติความเป็นมาของการทำบุญนี้ว่าเมื่อครั้งพุทธกาลพระเจ้าพิมพิสารจำต้องตื่นบรรทมทุกเช้าเพราะได้ยินเสียงร้องโหยหวนทุกคืนทำให้ทรงบรรทมไม่หลับ จึงไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสว่าเสียงร้องโหยหวนตอนใกล้รุ่งนั้นคือเสียงของ “เปรต” ซึ่งเปรตตนนี้เป็นพระญาติของพระองค์เอง (โดยคำว่า เปรต เป็นคำภาษาสันสกฤษ ในภาษาบาลี เรียกว่า เปตะ) เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเช่นนี้จึงได้ริเริ่มประเพณีทำบุญให้เปรตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีการสืบสานประเพณนี้ต่อกันมาโดยพุทธศาสนิกชน
ตามความเชื่อทางพุทธศาสนานั้น ในปลายเดือนสิบปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องซึ่งล่วงลับไปแล้วโดยเฉพาะเปรตหรือคนที่มีบาปมากจนตกนรกจะได้มีโอกาสขึ้นมาเยี่ยมครอบครัว ณ ภพภูมิมนุษย์ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงพยายามที่จะหาอาหารต่าง ๆ ไปทำบุญตามวัดเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับ โดยจะแบ่งวันทำบุญเป็นสองรอบ
ในรอบแรกนั้นจะตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งบางท้องที่เรียกวันนี้ว่า วันหฺมรับเล็ก (รับเปรต) และครั้งที่สอง เป็นวันกำหนดกลับนรกคือวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เรียกวันนี้ว่าวันหฺมรับใหญ่ (ส่งเปรต) มีการจัดทำพิธีทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเป็นการส่งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง
ที่สำคัญในช่วงประเพณีเดือนสิบนี้จะมีการแสดงที่ชื่อว่า “รำโนราห์” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอันวิจิตรงดงาม
ของบรรพบุรุษไทย ความสวยงามของศิลปะการแสดงนี้ได้รับการรับรองเป็นมรดกททางวัฒนธรรมโลก
ผศ.ธรรมนิตย์ผู้ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติพุทธศักราช 2564 สาขาศิลปะการแสดงโนราเปิดเผยว่า
องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรองขึ้นทะเบียน ‘โนรา’
(Nora, Dance Drama in Southern Thailand) เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
โดยในงานนี้ ผศ.ธรรมนิตย์ได้ให้เกียรติเป็นตัวแทนมาโชว์การรำโนราและบอกเล่าเรื่องโนราและความสัมพันธ์
กับสารทให้พวกเราฟังกัน ความว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างวันสารทกับการรำโนราห์ (โนราตายาย) เมื่อมีการแสดงโนราโรงครูบนพาไล1
จะสังเกตเห็นว่ามีการทำหมฺรับเล็ก ๆ ไว้สำหรับบูชาบรรพบุรุษเพื่อแสดงว่าโนรานั้นมีความสัมพันธ์กับตายายและถือเป็นการปลูกฝังว่าการรำลึกถึงบรรพบุรุษก็จะต้องมีหมฺรับเป็นองค์ประกอบ อีกทั้งการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์จะต้องมีโนราเข้าไปผสมอยู่ในขบวนแห่ด้วย เนื่องจากสิ่งนี้แสดงออกถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างหมฺรับกับโนราที่ยังคงสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน ผศ.ธรรมนิตย์ยังกล่าวอีกว่าในงานวันสารทจะมีการแข่งขันโนราและการแสดงโนราซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวภาคใต้ในปัจจุบันนั้นอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของโนรากับวันสารท
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของวันสารทเดือนสิบยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โนรา โดยคำว่า “โนรา”
หรือ “มโนราห์” ในภาษาดั้งเดิมเรียกว่า มโนหราชาตรีนั้นได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงของประเทศอินเดียโบราณ โดยมีการแต่งบทร้องที่แสดงให้เห็นว่า โนราคือภูมิปัญญาซึ่งนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ
มาผสมผสานกันจนเกิดเป็นประเพณีนี้ขึ้นการแสดงรำชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยก่อนศรีวิชัยโดยรับมาจากพ่อค้าชาวอินเดียที่เดินทางมาค้าขายกับไทย แต่เดิมการรำโนรานิยมใช้ผู้ชายล้วนในการแสดงและยังเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดที่หัวเมืองพัทลุงก่อนที่จะมีการเผยแพร่ต่อไปยังพื้นที่อื่นๆในภาคใต้ การแสดงรำโนราในอดีตนั้นมักใช้เครื่องดนตรีประกอบการแสดงพิธีกรรมเพื่อความบันเทิงและมีการประยุกต์นำเอาเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดมากขึ้นมาประกอบการแสดงในปัจจุบัน สมาชิกในคณะโนราผู้ทำหน้าที่ทำการแสดงหรือเป็นผู้ขับร้อง จะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการร้องบทเป็นกลอนสด รวมถึงต้องหาคำให้สัมผัสกันได้อย่างฉับไวและสื่อความหมายได้ดีตลอดทั้งการขับร้อง
ส่วนท่ารำ และเครื่องแต่งกายนั้นก็จะต้องคงไว้ซึ่งเอกลักษ์ของภาคใต้ได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับการพัฒนาการแสดงโนรากับช่วงเวลาปัจจุบันนั้น คุณเนติพงศ์ ผู้หลงใหลในลูกปัดโนราหรือโนราแฮนด์คราฟต์ (Hand craft) และเป็นผู้ที่ได้รับรองวัลครูศิลปะหัตถกรรมประจำปี 2565 ได้อธิบายขยายความเสริมจาก
ผศ. ธรรมนิตย์ว่า คำว่า “ปรับปรุง” หมายถึงการปรับปรุงในเรื่องของลูกปัดโนราให้มีรูปแบบที่สวยงามมากขึ้น
ดังนั้นเราทุกคนจึงควรช่วยกันสนับสนุน ส่งเสริม และยืดหยัดเพื่อให้ศิลปะการรำโนราคงอยู่สืบต่อไป จิตวิญญาณของโนราสะท้อนถึงความสัมพันธ์กันของมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นเปรียบเหมือนการผูกสายใยที่เกี่ยวพันกันมาตลอด
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีการส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมนี้มาจนถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีทั้งสื่อสังคมออนไลน์และอินเตอร์เน็ตทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเป็นส่วนสำคัญในการนำเสนอศิลปะชนิดนี้รวมถึงสร้างมูลค่า
ให้แก่วัฒนธรรมอันดีงามได้อย่างกว้างขวาง คุณเนติพงศ์ยังกล่าวอีกว่า จากความผูกพันธ์ของตนกับการแสดงโนรานั้นทำให้ยิ่งรู้สึกว่าอยากที่จะสืบสานวัฒนธรรมนี้ในอีกมิติหนึ่ง นั่นคือการนำเอาหัตถกรรมลูกปัดโนรามาประยุกต์ตกแต่งให้มีความร่วมสมัยแต่ยังคงความเป็นตัวเองและสนุกไปกับสิ่งที่ทำ
ดร.รื่นฤทัยได้เสริมอีกว่า เราสามารถส่งต่อเรื่องเล่าที่ไม่ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์ให้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยการทำสื่อ E-book บอกเล่าให้พี่ ๆ น้อง ๆ ในงานสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมเรื่องของตำนานโนราในด้านประวัติความเป็นมาหรือเรื่องเล่าของครูต้นโนราได้ เพราะเรื่องเล่าก็คือการเล่ากันปากต่อปากทำให้มีความคลาดเคลื่อนบ้าง
แม้กระทั่งผู้เล่าเองก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยส่งผลให้เรื่องเล่าต่าง ๆ มีความคลาดเคลื่อน เรื่องเล่าของโนรามีทั้ง
“แม่เจ้าอยู่หัว” ที่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าคือตำนานของ “พระนางเลือดขาว” ทุกคนสามารถอ่านเรื่องสรุปย่อได้ต่อในเว็บไซต์ https://www.silpa-mag.com/history/article_7504 นอกจากนี้ในเว็บไซต์ก็ยังมีเรื่องตำนานเรื่องเล่าของ ทวดสำลีหรือ (ทวดยายหมลี) และ ขุนศรีศรัทธาซึ่งเกี่ยวข้องกับตำนานโนรามาฝากทุกคน ซึ่งสามารถอ่านเนื้อหาต่อได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้เช่นกัน https://www.thereporters.co/culture/2503221756/
1ในตำนานโนราจะถือว่าพาไลคือที่สถิตย์ของครูหมอโนรา ตลอดจน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษทั้งหลายใน
สายสกุล โดยพาไลจะยกสูงจากพื้นราวสองเมตร มัดไม้ไผ่สามขั้น ใช้บันไดปีนขึ้นไป อ่านต่อคลิกที่นี่
แชร์ 2654 ผู้ชม